เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ก.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฟังธรรมคืออะไร ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นท่านสอน หลวงปู่มั่นสอนว่า ดีที่ไม่มีโทษ ความดีที่ไม่มีโทษไม่มีภัยนั่นน่ะความดีที่แท้จริง

ความดีที่มีโทษมีภัย ความดีที่แลกมาด้วยการแลกเปลี่ยน เห็นไหม ความดีที่ไม่มีโทษนั้นเป็นความดีที่ดีแท้ ถ้าดีแท้ ดีแท้มันมาจากไหน ถ้าดีแท้ขึ้นมา ดูสิ แลกมาด้วยชีวิตนะ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราแลกมาด้วยชีวิต ธรรมะอยู่ฟากตายๆ เอาชีวิตนี้เข้าแลก

เวลาปฏิบัติไปแล้วกิเลสมันหลอกว่าจะตายๆ ขอดูซิอะไรตายก่อน ขอดูด้วยสติด้วยปัญญานะ เพราะเรามีสติมีปัญญามันกล้าเข้าไปเผชิญกับความตาย ไอ้พวกเราไม่กล้าเข้าไปเผชิญหรอก พออ้างว่าตายนี่ศิโรราบเลย

เวลาแบบว่าถ้ามันแลกมาด้วยความตายๆ ธรรมอยู่ฟากตายๆ ถ้ามันฟากตายแล้ว ถ้ากิเลสมันบอกมึงจะตายแล้วแหละ อดอาหารก็จะตาย ภาวนาก็จะตาย นั่งสมาธิก็จะตาย จะตายทั้งนั้นน่ะ ศิโรราบเลย เลิก

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะพิสูจน์ว่าอะไรคือตาย ขอดูซิอะไรตายก่อน ถ้าอะไรตายก่อน พิสูจน์กันๆ อะไรตาย แขนหรือตาย ขาหรือตาย สมองหรือตาย ตัวหรือตาย คนหรือตาย ใครตาย ไม่เห็นมี นี่ถ้ามันไม่มี เห็นไหม

ดีที่ไม่มีโทษ ดีที่ไม่มีโทษ เวลาจะแลกมา แลกมาด้วยสติด้วยปัญญาอย่างนี้ เวลาแลกมา แลกมาด้วยสติสัมปชัญญะที่กล้าหาญ ถ้ากล้าหาญนะ ไม่เกรงกลัวกับกิเลสที่มันเอามาปลิ้นปล้อน ถ้ามันเอามาปลิ้นปล้อน เราก็แพ้ตัวของเราใช่ไหม ถ้าเราแพ้ตัวของเรา เราจะมีจุดยืนได้อย่างไร เราจะมีคุณงามความดีมาจากไหน คุณงามความดีอยู่ใต้กิเลสทั้งนั้น กิเลสมันครอบงำทั้งนั้น ถ้ากิเลสมันครอบงำนะ ต้องอย่างนั้นๆๆ

คนที่มีอำนาจวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่บารมีธรรมๆ สร้างคุณงามความดีมาทั้งนั้น เวลาสร้างคุณงามความดีมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระเขาว่ากัน เพราะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าลาภสักการะถึงมากขนาดนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ เราทำมาเองๆ เพราะเป็นพระโพธิสัตว์สละมามหาศาล แม้แต่ชีวิตก็สละมา สละมาทั่ว แต่เวลาสละมาแล้ว เวลามันเป็นขึ้นมา ด้วยอำนาจวาสนาบารมีนั้นถึงได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่เคารพบูชาก็เชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่บูชาคุณ บูชาคุณของท่าน ไอ้พวกเดียรถีย์นิครนถ์มันก็กลั่นมันก็แกล้ง มันก็ทำลายทั้งนั้นน่ะ ในพระไตรปิฎกมีมหาศาล

สิ่งที่เป็นบารมีธรรมๆ แม้แต่มีบารมีธรรม บางคนก็มีกิเลสเหมือนกับโลก เรามีเงินทองเราจะไปแจกคนทั่วไปไม่ได้ เราจะไปแจกคนที่เป็นคุณธรรม แจกคนที่เป็นประโยชน์ ให้เขาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมา เราไม่ไปแจกให้เด็กมันเสียคน แจกให้มันเล่นการพนัน ให้แจกแล้วให้คนไปซื้อยาเสพติด เงินนี้ทำให้คนเสียก็ได้ เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่แสดงธรรมๆ เขาเชื่อฟังหรือไม่ มันจะเป็นประโยชน์กับเขาหรือไม่ ถ้าเป็นประโยชน์กับเขามันก็เป็นประโยชน์กับเขา ถ้าไม่เป็นประโยชน์กับเขา เราก็เป็นหน้าที่ หน้าที่แสดงธรรมไปแล้วมันเป็นผู้ที่ย่อยสลาย ผู้ที่จะมาขบคิดให้มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้าเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ธรรมมันจะเกิดๆ ไม่ใช่เราไปวิ่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน

แข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อำนาจคือกองไฟ สิ่งที่แสวงหาๆ เข้าไปกอดแท่งไฟแดงๆ ทั้งนั้น เข้าไปกอดแท่งไฟ เหล็กแดงๆ เผาไฟแดงๆ แล้วเข้าไปกอดไว้น่ะ มันมีความสุขจริงหรือ แต่โลกเขามองกันอย่างนั้นน่ะ

แต่โดยธรรมๆ เวลาทำดีทำชั่วมันต้องมีผลกระทบทั้งนั้นน่ะ ถ้าทำความดีขึ้นมา ทำดี นี่บารมีของธรรม คำว่า อิทธิพล” อิทธิพลที่เป็นคุณธรรม อิทธิพลที่ดีเพื่อประโยชน์ อิทธิพลที่เลวกดขี่ข่มเหงเขา นี่มันอยู่ที่สติปัญญาของคนไง

ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อประโยชน์กับเราไง สิ่งที่ได้มาด้วยความสุจริต สิ่งนั้นว่าเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นหน้าที่การงานของเรา ความเพียรชอบ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ นอนกันสบาย ไม่มี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา พระโสณะเดินจนฝ่าเท้าแตก เวลาพระจักขุบาลถือเนสัชชิกจนตาบอด นี่มันต้องความเพียรชอบ มันต้องมีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มันไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ

คนเราบุญกุศล บาปอกุศลก็ที่เราทำมา เวลาเราทำสิ่งใดมา ถ้ามันเป็นบุญกุศลขึ้นมา ทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ นี่เรามีบุญมีวาสนา เราทำสิ่งใดแล้วมันขาดตกบกพร่อง อืมเราทำมา แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ กิเลสมันบีบคั้นในใจสิ พอเราทำสิ่งใดแล้วไม่สมความปรารถนา “คนนั้นรังแกเรา คนนี้ทำร้ายเรา” คนอื่นทั้งนั้นเลย มันไม่โทษว่าตัวมันทำนะ

แต่ถ้าเป็นคนมีสติปัญญา เออ! เราทำเอง จะดีจะชั่วก็ตัวทำ จะสูงจะต่ำก็ตัวทำทั้งนั้น เราทำทั้งนั้น เราทำทั้งนั้น แล้วความดีที่ไม่มีโทษ ความดีที่ไม่มีโทษ เห็นไหม

เวลาบอกทำบุญทิ้งเหว เราทำบุญแล้วก็ทำบุญ ทำบุญแล้วนั่นน่ะปฏิคาหก ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์บุญมหาศาล แล้วสบายใจ ไม่ใช่ติดสินบน ทำบุญแล้วถูกรางวัลที่หนึ่ง ถ้าไม่ถูกก็เอาแล้ว สืบสวน ทำไมไม่ถูกรางวัลที่หนึ่ง

อ้าว! นี่ไง มันไม่ทิ้งเหวไง ถ้ามันทิ้งเหว ทิ้งเหวมันก็จบ ถ้าทำบุญทิ้งเหว ทำบุญทิ้งเหวบุญมหาศาล เวลาบุญมหาศาลขึ้นมา เราทำของเราจนเกิดอำนาจวาสนาบารมี

คนดีนะ คนเขาร่ำลือว่าคนนั้นเป็นคนดี คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คนดีตกต่ำที่ไหนคนก็ช่วยเหลือค้ำจุน คนชั่วหนักแผ่นดิน ตายเสียได้ก็ดี ไม่มีใครช่วย นี่ไง บารมีธรรมๆ ไง เวลาอำนาจน่ะ พยายามวิ่งเข้าไปแสวงหาจะไปกอดกันไว้ กอดไว้มันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา มันมีแต่ของร้อนๆ ทั้งนั้น

ความดีที่ไม่มีโทษๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีกำมือในเรา แบตลอด พยายามรื้อสัตว์ขนสัตว์ มันมีสิ่งใดที่จะเป็นคุณธรรมในใจของสัตว์โลก อริยทรัพย์ๆ ทรัพย์ในหัวใจของเรานี่

สิ่งที่แสวงหามามากมายขนาดไหน เศรษฐีสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละทรัพย์ออกบวช กษัตริย์สละตำแหน่งออกบวชๆ ออกบวชเพื่ออะไร ออกบวชเพื่อจะหาความจริง เพื่อเห็นคุณค่าในหัวใจอันนี้

ข้าวของเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ทุกคนมีสิทธิ์หมด อยู่ที่อำนาจวาสนาคนจะแสวงหามา แต่ที่อริยทรัพย์ๆ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ปัจจัตตังรู้เฉพาะตน เอามาอวดกันไม่ได้ ใครมีคุณธรรมในใจขนาดไหนก็เป็นของเขาขนาดนั้น มีแต่ผู้ที่สูงกว่ารู้เท่านั้นที่จะตรวจสอบได้ ถ้าตรวจสอบได้ คุณธรรม คุณธรรมที่สูงกว่าๆ จิตใจที่สูงกว่าดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมา ดึงจิตใจที่ต่ำกว่าขึ้นมา

แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้น เห็นไหม แสวงหาๆ อำนาจเหมือนของร้อน พอคนมีอำนาจขี่หลังเสือ ขี่หลังเสือลงหลังเสือไม่ได้นะ ถ้าพอลงหลังเสือไม่ได้ โอ้โฮ! มันเครียดนะ ลงหลังเสือไม่ได้ มันกลัวเขาตะปบเอา แต่ถ้าวันไหนมันเคลียปัญหาได้ มันลงหลังเสือได้มันยิ้มแย้มแจ่มใสนะ ไอ้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสมันปลอดภัย เออ! ลงหลังเสือได้แล้ว

นี่พูดถึงในสังคมๆ ไง เวลาขี่หลังเสือๆ ขี่หลังเสือเพราะอะไร เพราะมึงแสวงหา มึงบีบคั้นเขา มึงแกล้งเขา มึงทำลายเขา แล้วเขาจะเอาคืนมาทำอย่างไร เวลาเขาจะเอาคืนมา เวลาเขาจะเอาคืนมาก็ไปโทษเขาไม่ดีๆ ไง

แต่ถ้ามันเคลียปัญหาได้ มันจัดการสิ่งปัญหาได้ เวลามันเคลียกันได้ เห็นไหม คนเราไม่มีพิษไม่มีภัย ใครจะทำร้ายเรา เว้นไว้แต่กรรมเก่า เว้นไว้แต่คนมีกรรมนะ อุบัติเหตุ การเกิดผลกระทบต่างๆ มันมีที่มาที่ไป มันต้องมี ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง ถ้าเราเคลียปัญหาของเราได้ มันจบน่ะ ถ้ามันจบ มันสบายใจๆ นี่พูดถึงเวลาลงหลังเสือนะ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดกว่านั้น

กิเลสมันบีบคั้นในหัวใจของเรา เวลากิเลสมันบีบคั้นในหัวใจของเรานะ ทุกคนชิงดีชิงเด่น ชิงดีชิงชั่ว แม้แต่การกระทำก็อยากเบียดเบียนเสียดสีกัน ถ้าคนที่มีธรรม คนที่มีธรรมนะ เขายืนนะ เราเห็นบ่อยๆ คนที่เขามีธรรมนะ เขานั่งยิ้มๆ เชิญครับ ใครจะแซงหน้าแซงหลัง ไปเถอะ เดี๋ยวมันไปล้มอยู่ข้างหน้านั่นน่ะ เราเดินมาทีหลัง เราถึงก่อน นี่คนที่เขามีธรรม

เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่การเสียสละให้โอกาสกันก็เป็นบุญ เราทุกข์เรายากกันนะ อู๋ย! ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่ได้ทำบุญเหมือนเขา จะแข่งกันด้วยจำนวนตัวเลข แต่ไม่ได้คิดเลยว่าบุญมันเกิดจากเจตนาของคน เจตนาของคนที่ยิ่งใหญ่มันคิดแต่เรื่องดีๆ มันคิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจนี้ มันไม่คิดไปเอาฟืนเอาไฟมาเผาหัวใจของตน นี่ไง ให้เขาไปก่อน ให้เขาไปก่อน นี่สิ่งที่เป็น ถ้ามีสติปัญญานะ

ถ้าเราบอกว่าเราเรียกร้องไง เราเรียกร้องตรวจสอบ “ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำดีแล้วไม่ได้ดี”

ทำดีแล้วได้ดีแน่นอนทั้งนั้นน่ะ ดูหายใจสิ หายใจสะดวกนี่ปลอดโปร่ง เป็นหวัดสิ หายใจไม่ออกสิ เอาออกซิเจนมาทิ่มปลายจมูกเลย นี่ไง แค่หายใจนะ แล้วความคิดล่ะ แล้วอำนาจวาสนาล่ะ แล้วการกระทำล่ะ นี่ถ้ามันมีสติมีปัญญา ถ้ามันมีสติปัญญา เรามีสติปัญญา เราเท่าทันกิเลสในใจของตน

ถ้าเท่าทันกิเลสในใจของตน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบหมายความว่าเป็นอิสระจากกิเลส เป็นอิสรภาพ ตอนนี้ไม่เป็นอิสรภาพเพราะอะไร จิตนี้เหมือนน้ำ น้ำใสๆ อยู่ในแก้วใสๆ เราจะไม่รู้เลยว่ามีน้ำหรือไม่มีน้ำ ถ้าเราเติมสีลงไปในแก้วน้ำนั้นเราจะเห็นว่า อ๋อ! มันมีน้ำอยู่

นี่ก็เหมือนกัน น้ำใสๆ ในใจของเรามันทรงตัวมันเองไม่ได้ มันก็อยู่ที่ความคิด อารมณ์ความรู้สึกนี่คือความคิด คือสี คิดนู่น คิดนี่ คิดร้อยแปด มันเป็นอิสระไม่ได้ จิตนี้ไม่เคยเป็นอิสระ ต้องเกาะสัญญาอารมณ์ไปตลอด ต้องคิดตลอด ต้องหวังพึ่งเขาไปตลอด จิตมันทรงตัวมันเองไม่ได้

ทั้งๆ ที่จิตนี้จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้นี้ ถ้าดวงจิตนี้เป็นดวงธรรมทั้งหมด ถ้าดวงธรรมทั้งหมด ธรรมธาตุ ธรรมธาตุพ้นจากกิเลสไปไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทั้งๆ ที่มันมีคุณค่ามหาศาลเลย แต่เวลากิเลสมันครอบงำแล้วมันช่วยตัวมันเองไม่ได้

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอน สอนถึงเรื่องการทำบุญกุศลก่อน ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องอนุปุพพิกถา เรื่องให้เสียสละทาน คำว่า เสียสละทาน” เพื่ออะไร

เสียสละทาน ถ้าคนเสียสละทานได้ คนมีจิตใจที่เป็นสาธารณะได้ มันจะฟังเหตุฟังผลของมันไง ถ้าคนจิตใจไม่เป็นสาธารณะ จิตใจไม่เผื่อแผ่ ไม่คิดถึงตนเอง มันจะเอารัดเอาเปรียบเขา ถ้ามันเอารัดเอาเปรียบเขา เหมือนกับจิตที่มันพึ่งตัวเองไม่ได้อยู่แล้วนะ ยังใส่แว่นอีกสองชั้นนะ แล้วยังปิดตาด้วยเทปกาวเลย ไม่เห็นเลย แล้วก็ “กูดีๆๆ” แล้วก็เรียกร้องนะ “ทำไมกูเกิดเป็นคนไม่เท่าเขาๆ” นี่ไง เพราะจิตใจคนมันเห็นแก่ตัว มันยึดมั่นถือมั่นในตัวมันเอง

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะสอนถึงว่าให้เสียสละทานก่อน เทปกาวที่ปิดอยู่ที่ตาดึงมันออก แว่นดึงมันออก ดึงออกๆ ดึงออกให้เห็นถึงความจริงไง เราก็ชีวิตหนึ่ง เขาก็ชีวิตหนึ่งใช่ไหม สังคมก็ต้องการความสุขทุกๆ คนใช่ไหม

การเสียสละทานเป็นการฝึกหัดหัวใจของเราให้ยอมรับความจริง ให้ยอมรับในปัญหาสาธารณะที่ต่างๆ เสมอกัน พอเสมอกันขึ้นมาแล้ว ทาน ศีล ภาวนา ทานนี่มีผลมาก ทานมีผลมากเพราะเราทานแล้วเราได้คิด แล้วเราได้มีสติปัญญา เราได้มีจุดยืนของเรา

พอมีการทานมาวัดมาวา ได้ฟังเทศน์ ได้ย้อนกลับมาชีวิตของเรา ด้วยจิตของเรา เราฟังของเรา ถ้ามันมีประโยชน์ขึ้นมา มันดึงเทปกาวออก มันดึงแว่นออก มันดึงออก แล้วทีนี้มันก็มีอารมณ์กับจิตแล้ว

ทาน ศีล ภาวนา หัดภาวนาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ คำว่า จิตที่เป็นอิสระ” จิตที่เป็นอิสระ น้ำใสๆ ไม่ต้องเติมสีเติมกลิ่น ไม่ต้องไปเติมมัน ถ้าไม่เติม ไม่เติมอย่างไรล่ะ ก็ต้องกรองมันใช่ไหม ด้วยคำบริกรรมใช่ไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามของเราให้มันเป็นอิสระให้ได้

ถ้ามันเป็นอิสระได้ ดูสิ น้ำที่มันมีสีเจือปนอยู่ตลอดเวลา เรามีแต่ความคิด มีความผูกพัน มีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ตลอดเวลา วันไหนมันเป็นอิสระขึ้นมามันจะมีความสุขไหม วันไหนที่มันเป็นอิสระขึ้นมา จิตใจที่ยิ่งใหญ่นะ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเกิดด้วยเวรด้วยกรรมนี่มันมีความยิ่งใหญ่ในตัวมันเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอน สอนให้มาประพฤติปฏิบัติที่นี่ไง สอนเข้ามาให้กรองหัวใจของตนไง ให้รักษาหัวใจของตน ให้ดูแลหัวใจของตน ทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

พอจิตมันสงบ สงบเพราะอะไร เพราะกิเลสมันเบาบางลง กิเลสมันปล่อยอิสระชั่วคราว ถ้ามันใช้ปัญญาตอนนี้จะเป็นภาวนามยปัญญา ถ้ามันใช้ปัญญาตอนนี้ ตอนที่เป็นน้ำใสๆ ตอนที่ไม่เจือด้วยสีด้วยกลิ่น

แต่เวลาที่เราใช้ปัญญาๆ กันอยู่นี่เราใช้ปัญญาเจือด้วยสีด้วยกลิ่น เจือด้วยสีด้วยกลิ่นก็เจือด้วยความชอบของเราไง “อันนี้เป็นธรรมะ อันนู้นไม่เป็น อันนี้สะดวก อันนั้นไม่สะดวก อาจารย์องค์นี้ดีกว่าอาจารย์องค์นู้น” นี่มันเจือด้วยสีด้วยกลิ่น มันไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นภาวนาหรอก

ถ้ามันจะเป็นภาวนา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ให้ตรงนั้นให้มันเป็นความจริงขึ้นมา พอมันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมา ถ้ามันเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริงโดยที่น้ำใสๆ ไม่เจือด้วยสีด้วยกลิ่น

เจือด้วยสีด้วยกลิ่นคือกิเลส คือจริตนิสัย คือความเห็นของตน คือความเห็นแก่ตัว ว่าอย่างนั้นเลย ทำทุกอย่างมีความเห็นแก่ตัว อยากได้ๆ อยากได้จนไม่ได้ อยากได้เพราะความอยากได้ตะครุบแต่เงา ตะครุบแต่สัญญาอารมณ์ ตะครุบแต่ความบอกเล่าของคนอื่น ตะครุบแต่สิ่งที่มันอยากจะได้ก่อน มันเลยไม่ได้ เพราะความอยากได้เลยไม่ได้

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเราท่านสอนนะ วางให้หมด แล้วพยายามฝึกหัดของเราขึ้นมา ใครปลูกต้นไม้ในไร่ในสวนของใคร ใครปลูกต้นไม้ปลูกพืชอย่างใดก็ได้กินอย่างนั้น เพราะเราปลูกขึ้นมาเอง เราเก็บขึ้นมาทำอาหารเอง เราได้กินของเราเอง

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของเรา เราฝึกหัดของเรา เราพิจารณาของเรา หน่อของพุทธะถ้ามันเกิดในใจของเรา เห็นไหม หน่อพุทธะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่ถ้าเป็นความจริงมันเป็นความจริงอย่างนี้ แล้วที่เราไปวัดไปวากัน ไปวัดไปวาเพราะเหตุนี้ เราจะไม่ไปชิงดีชิงเด่นกับใคร เราไม่ต้องขี่หลังเสือ เราไม่ต้องเอาไฟมาเผาลนใจของเรา เราไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร ว่าทำบุญแล้วจะยิ่งใหญ่ ทำบุญแล้วจะครอบงำใคร ไม่มี

เขาทำเพื่อละเพื่อวาง เพื่อปัญญาที่ยิ่งใหญ่ เพื่อคุมหัวใจดวงนี้ได้

หลวงตาท่านบอกว่า เวลาพิจารณาจบสิ้นไปแล้วมันไปได้ ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันยิ่งใหญ่ ใจนี้ครอบงำ ๓ โลกธาตุ เพราะใจนี้เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มัน ๓ โลกธาตุ แล้วใจที่ยิ่งใหญ่มันครอบงำหมดเลย นี่เริ่มต้นตั้งแต่ใจที่อ่อนแอ ใจที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ใจที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้ พิจารณาไป ปฏิบัติไปถึงที่สุดแล้วนะ ดวงตาเห็นธรรม ธรรมในใจของตน สิ่งต่างๆ แบบนี้มันอยู่ที่เรา

ฉะนั้น สิ่งที่แสวงหาข้างนอกอันนี้มันเป็นเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยๆ ในเมื่อชีวิตต้องมีเครื่องอาศัย อาศัยสิ่งนั้นดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้อยู่ที่ปัญญาของคนแล้ว เอาสมบัติโลกหรือสมบัติธรรม เอาความจริงหรือเอาความจอมปลอม เอาของหลอกหรือเอาของจริง แล้วของจริงไม่มีขาย ของจริงไม่มีในท้องตลาด ของจริงต้องขุดขึ้นมาจากใจของคนคนนั้น ใครมีชีวิตจิตใจขุดธรรมะขึ้นมาจากใจของตน เอวัง